บทที่ 6 การแจ้งเตือน
“ฉันมีอะไรไม่กล้าเหรอ? อรุณี เธอกลัวแล้วหรือไง?”
กาญจนามองเธอด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง
เพ็ญนภาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบดึงลูกสาวไว้ พร้อมกับแสดงท่าทีเป็นแม่ที่ใจดีและอ่อนโยน
“กาญจนาจ๊ะ เป็นอรุณีที่ไม่ถูกเองแหละ เขาไม่รู้ความเอาสร้อยคอของลูกไป เราเป็นครอบครัวเดียวกัน มีอะไรก็ปิดประตูคุยกันสิ ให้ตำรวจมามันจะไม่ดีนะ”
อรุณีถูกแม่ดึงไว้ทำให้ขยับตัวไม่สะดวก ทำได้เพียงกัดฟันกรอด จ้องมองกาญจนาด้วยสายตาโกรธแค้น
กาญจนาขี้เกียจจะเล่นละครด้วย เธอจึงนั่งลงบนโซฟาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อกี้นี้เธอพูดจาร้ายกาจขนาดนั้นแล้ว เพ็ญนภาก็ยังทำเป็นหูทวนลม
ในเมื่อชอบเสแสร้งนัก ก็จะรอดูว่าจะแสร้งไปได้ถึงเมื่อไหร่
เวลาผ่านไปทีละนาที ทีละวินาที หากตอนนี้ไม่ยอมความ เดี๋ยวตำรวจมาเรื่องจะยุ่งยากกว่านี้ เพ็ญนภาแอบกัดฟัน ไม่คิดว่านังเด็กเวรนี่จะใจเย็นได้ขนาดนี้
เมื่อไม่กี่วันก่อนอรุณีก็บอกว่า ตั้งแต่กาญจนาหย่าไปก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ตอนแรกเธอยังไม่เชื่อ แต่วันนี้พอได้เห็นกับตา นังเด็กเวรนี่เปลี่ยนไปจริงๆ! ยังไม่ทันที่เธอจะคิดหาทางรับมือ อรุณีก็หมดความอดทน คว้าแจกันที่อยู่ข้างๆ ขว้างไปทางกาญจนา
“กาญจนา! ไปตายซะ!”
แจกันใบนี้หนักมาก ถ้าโดนคนเข้าคงไม่ตายก็พิการ
เพ็ญนภาคิดในใจว่าแย่แล้ว
ลูกสาวคนนี้ของเธอหุนหันพลันแล่นเกินไป ถ้าทำร้ายกาญจนาขึ้นมา พอตำรวจมาถึง เรื่องมันจะไม่ใช่แค่ขโมยสร้อยคอแล้ว
พิชญเองก็ตกใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันจนหน้าซีด แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการเก็บหลักฐานให้ดีก่อนตำรวจจะมา เขาจึงฝืนใจหยุดนิ่ง แล้วหยิบมือถือขึ้นมา
กาญจนามองแจกันที่พุ่งตรงมาที่หน้า มุมปากของเธอยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา
ทุกการเคลื่อนไหวในสายตาของเธอราวกับกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย กาญจนาใช้ท่าเตะกลับหลังที่สวยงามส่งแจกันกลับไป
ร่างกายของเจ้าของร่างเดิมไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่โชคดีที่ยังมีความยืดหยุ่นอยู่บ้าง กาญจนาจึงสามารถทำท่าเมื่อครู่ได้ แต่หลังจากเตะไปแล้วก็เจ็บเท้าจริงๆ จนเธออดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
แต่อรุณีกลับไม่โชคดีขนาดนั้น เธอมองแจกันที่ลอยกลับมาอย่างตกตะลึง ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำได้เพียงใช้สองมือป้องกันใบหน้า ทั้งร่างเสียหลักล้มไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เพ็ญนภาเพิ่งจะโล่งใจที่กาญจนาไม่ได้รับบาดเจ็บ หันไปอีกทีก็เห็นอรุณีล้มลงบนชั้นวางของ
ชั้นวางของนี้ทำจากไม้และไม่ค่อยมั่นคงอยู่แล้ว ไม่สามารถรับน้ำหนักของอรุณีที่เอนไปพิงได้
พร้อมกับเสียงแจกันที่ตกกระทบพื้น ชั้นวางของก็ล้มลงด้วย
เสียงข้าวของแตกกระจายดังเพล้งพล้าง ในพริบตาทั่วทั้งห้องก็เละเทะไปหมด
อรุณีนั่งอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพัง เอามือปิดหน้าแล้วกรีดร้องเสียงแหลม
กว่าจำรัสและเพ็ญนภาจะตั้งสติได้ ก็รีบเข้าไปปกป้องอรุณี พร้อมกับตะคอกสั่งให้คนรับใช้เข้ามาช่วย
ชั่วขณะหนึ่ง ห้องนั่งเล่นก็วุ่นวายโกลาหล ช่างเป็นภาพที่ครึกครื้นเสียจริง
ส่วนกาญจนานั้นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หายใจสม่ำเสมอ กลับไปนั่งบนโซฟาตามเดิม
เธอเงยหน้าขึ้นถามพิชญที่กำลังยกมือถืออยู่
“เป็นไงบ้าง? อัดไว้หรือยัง?”
พิชญได้สติ พยักหน้า “อัดไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
กาญจนาพอใจมาก ก้มลงนวดเท้าตัวเอง
อรุณีโดนข้าวของที่หล่นลงมากระแทกจนบาดเจ็บ
ตอนนี้เจ็บจนน้ำตาไหลพราก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกข์ใจยิ่งกว่ากำลังจะตามมา
พ่อบ้านเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบเพื่อรายงาน
“ท่านครับ คุณหญิงครับ ตำรวจมาแล้วครับ”
พอได้ยินคำนี้ อรุณีก็ลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ เธอคว้าแขนของเพ็ญนภาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“แม่... ทำไงดีคะ? ตำรวจมาแล้ว!”
เพ็ญนภามีสีหน้าเย็นชา ไม่คิดว่านังเด็กเวรนี่จะแจ้งตำรวจจริงๆ
แต่เธอก็ยังตบเบาๆ ที่มือของอรุณี เป็นเชิงบอกว่าไม่ต้องกังวล
เมื่อกี้อาละวาดกันไปขนาดนั้น ต่อให้ตำรวจมา พวกเธอก็ยังมีเหตุผลอยู่ฝ่ายตน
นอกประตู ชายสองคนในเครื่องแบบตำรวจเดินเข้ามา “ใครเป็นคนแจ้งความครับ?”
พิชญเดินออกมาจากกลุ่มคน
“คุณตำรวจครับ ผมเป็นคนแจ้งความเอง”
“เกิดอะไรขึ้นครับ? ในบ้านรกขนาดนี้ พวกคุณทะเลาะวิวาทกันเหรอ?”
อรุณีใช้มือกุมแขนที่แดงบวมของตัวเอง แล้วชิงฟ้องก่อน
“คุณตำรวจ! นังบ้าคนนี้บุกเข้ามาในบ้านฉัน แล้วยังทำร้ายฉันอีก พวกคุณรีบจับตัวเธอไปเลย!”
ตำรวจสองนายมองหน้ากันไปมา ไม่คิดว่าคนที่ทะเลาะกันจะเป็นเด็กสาวที่ดูบอบบางสองคน
ประกอบกับอรุณีมีบาดแผลบนตัว ตำรวจจึงเอนเอียงไปทางผู้บาดเจ็บก่อนเป็นธรรมดา
แต่เพ็ญนภากลับไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เธอจึงเดินเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“คุณตำรวจคะ เด็กสองคนไม่รู้ความ ทะเลาะกันนิดหน่อย แล้วเผลอไปชนชั้นวางของล้ม ต้องรบกวนพวกคุณมาถึงที่นี่ เหนื่อยแย่เลยนะคะ ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ พวกคุณกลับไปก่อนเถอะค่ะ”
เธอมีสีหน้าอ่อนโยน ท่าทีสง่างาม ราวกับเป็นแม่ที่เปี่ยมด้วยเมตตา
พูดจบเธอก็ส่งสายตาให้พ่อบ้าน เพื่อจะส่งตำรวจออกไป
พิชญเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปห้าม
อุตส่าห์แจ้งตำรวจแล้ว ในมือก็มีหลักฐาน จะปล่อยให้พวกเขาไปได้ยังไง?
“คุณตำรวจครับ—”
เพ็ญนภารู้ว่าเขาเป็นทนายความ จึงไม่อยากให้เขาพูด เลยพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณผู้ชายคะ นี่เป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัวของดิฉัน ไม่ทราบว่าคุณมีเจตนาอะไร เด็กสาวสองคนงอนกัน คุณถึงกับแจ้งตำรวจ ใช้ทรัพยากรสาธารณะโดยใช่เหตุ”
เธอพูดแต่ละคำอย่างหนักแน่น ราวกับเป็นแม่ที่ดีที่คำนึงถึงส่วนรวมจริงๆ "แค่พี่น้องทะเลาะกันเหรอครับ?" ตำรวจถามอย่างครึ่งเชื่อครึ่งสงสัย พลังทำลายล้างของเด็กสาวสองคนจะรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ โลกของคนรวยนี่พวกเราไม่เข้าใจจริงๆ
เพ็ญนภาคงลืมไปว่ากาญจนายังอยู่ตรงนั้น กำลังจะพูดปัดๆ ไป กาญจนาที่พักจนหายเหนื่อยแล้วก็พูดขัดขึ้นมา
“ใครเป็นพี่น้องกับเธอ?”
รอยยิ้มของเพ็ญนภาแข็งค้างไป ไม่คิดว่ากาญจนาจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้
“กาญจนา ลูกคนนี้นี่! พอโกรธทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที เรื่องในบ้านจะแจ้งตำรวจได้ยังไงกัน?”
กาญจนาถามกลับ
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน คุณตำรวจคะ ฉันเป็นคนให้ทนายแจ้งความเอง คนสามคนนี้บุกรุกบ้านและพยายามทำร้ายฉัน ขอให้พวกคุณจัดการตามกฎหมายด้วยค่ะ”
จำรัสที่เงียบมาตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น “จะโวยวายอะไรกัน?”
พูดจบ เขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางตำรวจสองนายไว้
“คุณตำรวจครับ ผมเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ โชคไม่ดีที่บ้านมีลูกอกตัญญูแบบนี้ ถึงได้รบกวนพวกคุณ ต้องขอโทษจริงๆ กาญจนา! มาขอโทษซะ!”
กาญจนาฟังคำพูดของเขาแล้วรู้สึกขำ พ่อของเจ้าของร่างเดิมคนนี้ไม่เคยสนใจเจ้าของร่างเดิมเลยสักนิด
ต่อมายังนอกใจไปคบกับเพ็ญนภา พอภรรยาเสียชีวิตก็รีบฮุบสมบัติของบริษัทชำนาญ พาเมียน้อยกับลูกนอกสมรสเข้ามาอยู่ในบ้านของเมียหลวง
เมื่อก่อนเจ้าของร่างเดิมเชื่อฟังเขาทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการถูกละเลยครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้กาญจนาไม่ใช่กาญจนาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่าไม่หลงกลเขาหรอก
“แกเป็นใครถึงกล้ามาสั่งฉัน? ฉันบอกแล้วไงว่าพวกแกสามคนบุกรุกบ้าน พยายามฆ่า ไม่มีใครหนีรอดไปได้หรอก!”
อรุณีที่อยู่ข้างๆ ถูกน้ำเสียงเย็นชาเหมือนอสรพิษของเธอทำเอาตัวสั่นสะท้าน นึกถึงฝ่ามือที่ตัวเองตบเธอไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
จบสิ้นแล้ว กาญจนามาเพื่อแก้แค้นจริงๆ...
